ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา สภาผู้ผลิตสุกรของสหรัฐอเมริกาได้ยื่นคำร้องขอให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) พิจารณาตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) สำหรับประเทศไทย ภายใต้กรณีการพิจารณาการดำเนินการของประเทศที่ได้รับสิทธิ (Country Practice Reviews) เนื่องจากไทยไม่เข้าข่ายคุณสมบัติประเทศผู้ได้รับสิทธิด้านการเปิดตลาดสินค้าให้แก่สหรัฐฯ อย่างเป็นธรรมและสมเหตุผล เพราะไทยห้ามนำเข้าเนื้อสุกรของสหรัฐฯ ที่มีสารเร่งเนื้อแดงแรคโตพามีนตกค้าง แม้ไทยได้เคย แจ้งกับสหรัฐฯ ว่าจะแก้ไขกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับรองมาตรฐานสารตกค้างสูงสุดของสารเร่งเนื้อ แดงดังกล่าวที่ CODEX (โครงการมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ) กำหนด
สำหรับการยื่นคำร้องดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่เมื่อเร็วๆ นี้ ไทยเข้าประชุมคณะกรรมการภายใต้ความตกลงด้านการค้าและการลงทุนไทยสหรัฐอเมริกา (TIFA) โดยหนึ่ง ในประเด็นที่หารือกันครั้งนี้ คือ สหรัฐฯ ได้เร่งรัดให้ไทยพิจารณาการนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยง
ทั้งนี้ USTR จะประกาศว่าจะรับพิจารณาคำร้องของสภาผู้ผลิตสุกรของสหรัฐฯ หรือไม่ประมาณกลางเดือน พ.ค.นี้ โดยหากรับพิจารณาจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องประมาณเดือน มิ.ย.นี้ และจะประกาศผลการพิจารณาว่าจะยุติการทบทวน หรือให้ประเทศไทยดำเนินการเพื่อเปิดตลาดเนื้อหมูและเครื่องในให้แก่สหรัฐฯ อย่างเป็นธรรมและสมเหตุผลหรือไม่ อย่างไร ภายในเดือน ต.ค.นี้
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวว่า ไทยมีแผนปฏิบัติการด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองแรงงานที่มีความคืบหน้ามาก จึงเชื่อว่าไทยยังคงได้รับสิทธิต่อไป เพราะ 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ระบุว่าจะตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ และจะทำการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคเนื้อหมูของคนไทย เพราะคนไทยรับประทานทุกอย่างของหมู ทั้งตับไตไส้พุง แต่สหรัฐฯ บริโภค เฉพาะเนื้อหมู โดยจะศึกษาว่า การบริโภคของคนไทยจะได้รับผล กระทบจากสารเร่งเนื้อแดงหรือไม่ โดยมีระยะเวลาการศึกษา 1 ปี และจะยังไม่มีการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ในช่วงนี้.
ที่มา : ไทยโพสต์ 30-04-2018
|